ฝากอะไรถึงแฟนบอลสั้นๆ

บุตรชายคนสุดท้องของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ที่มีคุณพ่อเป็นนักการ คุณแม่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยความที่มีชีวิตในวัยเด็กที่ลำบาก ทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสวิ่งไล่หวดลูกบอลหาความสุขใส่ตนเช่นเด็กทั่วไปนัก

จนเมื่ออายุได้ 13 ปี หนุ่มน้อยรายนี้ ก็ได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์เชิงลูกหนังอย่างจริงจัง โดยมี อ.อนันต์ จันทะเพชร ครูพลศึกษา ที่สอนการเล่นฟุตบอลอย่างถูกวิธีให้เก็บเด็กน้อยรายนั้น โดยใครจะคิดว่าอนาคตข้างหน้าศาสตร์ที่ได้สอนให้เด็กคนหนึ่ง จะส่งผลต่ออนาคตเขาอย่างมากมาย

เหมือนชะตาเขาถูกผูกให้ติดกับกีฬาลูกหนังอีกครั้ง เมื่อถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังเรียนจบ ม.ปลาย เขาใช้ทักษะฝีเท้าที่มี สอบเข้านักเรียนจ่าทหารเรือได้สำเร็จ พอศึกษาจบ เขาก็ไม่ได้ไล่หวดเจ้าลูกกลมๆ นัก แม้สิ่งๆ นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเข้ารับราชการทหารก็ตาม แต่มีบ้างที่มีโอกาสลงสนามในรายการฟุตบอลพระราชทาน ข,ค,ง รวมถึงบอลเดินสาย อย่างไรก็ดีเขาแทบไม่คิดจะหันมายึดการเตะฟุตบอลเป็น “อาชีพ” เลยสักครั้ง

ทว่าจุดหักเหในชีวิตที่ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ก็เกิดขึ้นในปี 2009 ในขณะที่เขาอายุได้ 30 ปี ทางโค้ชราชนาวีเห็นว่ามีความสามารถเชิงลูกหนังที่ไม่ธรรมดา จึงชักชวนเข้ามาคัดกับ ราชนาวี-ระยอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง

แม้จะเริ่มต้นช้ากว่าใคร แต่เขากลับไม่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนชั้น สามารถยึดตำแหน่งตัวหลักในแนวรับของทีม พร้อมโลดแล่นบนเวทีไทยลีกได้อย่างเหนือคาด ตลอด 3 ฤดูกาลบนลีกสูงสุดแดนสยาม

ปี 2012 ระยอง ยูไนเต็ด ตัดสินใจยืมตัวเขามาช่วยขันแนวรับในศึกดิวิชั่น 2 แน่นอนว่าการปรับตัวเล่นในลีกต่ำกว่าไม่เป็นปัญหา เมื่อเขาเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญพา “ช้างศึกคะนอง” ทะลุเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ได้อย่างน่าประทับใจ

ปีถัดมาย้ายกลับมาช่วยราชนาวี ต้นสังกัดที่แท้จริงอีกคำรบ แม้วัยที่มากขึ้นอาจเป็นอุปสรรคในการเบียดตำแหน่งอยู่บ้าง แต่ด้วยวินัย และสภาพร่างกายที่ถูกดูแลอย่างดี ทำให้ยังได้โอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง ช่วยทีมเล่นในระดับดิวิชั่น 1 ก่อนที่ในปีถัดมาทีมจะทำอันดับเลื่อนชั้นสู่ไทยลีกอีกครั้ง

ในปี 2015 สมุทรปราการ สองสิงห์ เอฟซี ยืมตัวมาร่วมทีมแม้ในคราแรกไม่มีใครคาดคิดว่า เซนเตอร์ฮาล์ฟวัย 35 ปี จะเข้ามายึดตำแหน่งแนวรับตัวหลักในทีมได้ก็ตาม ทว่าด้วยความเป็นมืออาชีพ ที่พร้อมทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ ส่งผลให้ “อ.โม” อภิชาติ โมสิกะ บรมกุนซือจับแนวรับวัยดึกลงสนามอย่างต่อเนื่อง ตลอดครึ่งทางเลกแรก

ลงสนามเป็นตัวจริงให้ทัพ “ป้อมปราการ” 10 จาก 14 นัดในทุกรายการ และแน่นอนว่าเขาโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่นแทบจะทุกนัดที่ยืนเฝ้าแนวรับให้ทีม ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา บวกกับสภาพร่างกายที่ยังฟิตไม่ต่างจากคนหนุ่ม ช่วยทีมสร้างสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในโซน รวมไปถึงเป็น 1 ใน 2 ทีมในลีกอาชีพเมืองไทย ที่ไม่เคยเสียประตูในบ้านยามลงแข่งขันในเกมลีก

ทำประตูสำคัญส่งทีมหยุดเลกแรกในอันดับที่ 2 สวมปลอกแขนกัปตันทีมพาลูกทีมเดินลงสนามในเกมนัดประวัติศาสตร์กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี แข้งอาวุโสลำดับที่ 1 ที่มีพร้อมทุกอย่างสำหรับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ดีทั้งใน และนอกสนาม ที่แข้งหนุ่มควรยึดเป็นต้นแบบ...

No.35 “จ่าบอย” จ่าเอกศักดิ์สุริยา กุลโพนเมือง กัปตันทีมสมุทรปราการ สองสิงห์ เอฟซี