Last Match
Friendly
1 : 4
สมุทรปราการ vs ม. เกษมบัณฑิต
15.30 น. Wednesday 08/1/2020
ศูนย์ฝึกฟุตบอล จ.สมุทรปราการ (หมู่บ้านมัณฑนา)
Next Match

Samutprakan FC on Instagram

ฟอร์มการเล่น 2019

7 ปี สโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ กับกุนซือในหน้าประวัติศาสตร์

14/11/2015

อาจจะช้าไปเสียเล็กน้อยในการกล่าวคำว่า สุขสันต์วันเกิดสำหรับสโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ผ่านไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา กับสโมสรฟุตบอลอาชีพเล็กๆ ในลีกรากหญ้า เช่นกันกับ 7 ปีที่ผ่านมานั้น มีกุนซือมือดีมากมายเข้ามาฝากผลงานต่างๆ รวมเกือบ 20 รายด้วยกัน ในโอกาสครบรอบอีกคราในปีนี้ เราขอหยิบยกเอาตำแหน่งกุนซือผู้วางแผนจัดตัวผู้เล่นเหล่านี้ขึ้นมา 7 เรื่องราวที่ถือว่าเป็นที่จดจำ และอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร จะมีใครกันบ้าง ไปละเลียดอ่านกันได้เลย

 

“ป๋าแหยม” วันชัย แหยมสลำ ฤดูกาล 2009-2010

เชื่อว่าแฟนลูกหนังชาวสมุทรปราการ ไม่มีใครไม่รู้จักชายผู้นี้ นี่คือกุนซือคนแรกสุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรฯ กุนซือคนแรกสุดที่พาทีมไปสู่ตำแหน่งแชมป์ภาคกลางตะวันออก ครั้งแรก และครั้งเดียวในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรฯ

“ป๋าแหยม” ถือเป็นคนเก่าคนแก่ในช่วงตั้งไข่กับก้าวแรกในฐานะทีมฟุตบอลอาชีพที่ชื่อ สโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีบรรดาลูกหม้อที่ต่อยอดจากทีมเทศบาลนครฯ ที่ก้าวไปไกลถึงตำแหน่งแชมป์ภาคในเวลาต่อมา

ถามว่าจุดเด่นของกุนซือท่านนี้อยู่ตรงจุดไหนคงต้องหยิบยกเอาจิตวิทยาขึ้นมาเป็นตัวตั้ง อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันว่า ในยุคเริ่มต้นลีกภูมิภาคนั้น ยังหาความเป็นอาชีพแทบไม่ได้ ถึงกระนั้นด้วยการปลุกเร้าที่ดีของกุนซือรายนี้ก็ช่วยสร้างแรงฮึกเหิมให้ทีมแกร่งกล้า และประกาศศักดาให้ “ป้อมปราการ” เป็นทีมที่แทบจะแพ้ไม่เป็นในเวลานั้น ด้วยระบบการเล่นแบบ 5-3-2 วางวิงแบ็กในการโจมตีด้านกราบ และเน้นการเข้าทำด้วยจังหวะลูกกลางอากาศ แถมด้วยความมหัศจรรย์ของปลายเท้าของ จียัมฟี่ เอดู ที่มักรังสรรค์ “ประตู” ให้ทีมต่อเนื่อง

ในยุคนั้นป๋ามีขุนพลคู่ใจที่ถือเป็นแกนหลักหลายราย อาทิ พงษ์สิริ ยะกัณฐะ, จียัมฟี่ เอดู, คริสโตเฟอร์ เอนนิน, วุฒิชัย ถิ่นทวี, วิรัตน์ รอดสุข ฯลฯ ที่ช่วยกันพาทีมเถลิงแชมป์ปี 2009 ต่อด้วยการเข้าสู่รอบ มินิลีก (แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน) แม้สุดท้ายทีมจะผิดหวังจากการเลื่อนชั้นก็ตาม แต่อย่างไรก็ดีทีมยังคงเค้นฟอร์มเยี่ยมได้ต่อเนื่องในปีถัดมา พร้อมจบในฐานะรองแชมป์ภาค แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ป๋าต้องแยกทางกับทีม และนั้นก็เป็นจุดสิ้นสุดของกุนซือที่ว่ากันว่ามีแฟนบอลฟ้า-ขาวเทิดทูนที่สุด โดยปัจจุบัน “ป๋าแหยม” เลือกไปทำอะคาเดมี่สอนเด็กแทน และยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาคุมสโมสรฟุตบอลอาชีพแต่อย่างใด ทิ้งไว้แต่เพียงสถิติคุมทีมสุดแกร่ง ชนะ 34 จาก 68 นัดที่คุมทัพ “ป้อมปราการ”

 

"โจเซ่" โจเซ่ คาร์ลอส เฟอร์เรร่า ฤดูกาล 2011 เลก 1


จากการที่ทีมต้องผิดหวังซ้ำซากกับการพลาดตีตั๋วสู่ลีกพระรองใน 2 ฤดูกาลติดต่อกัน บอร์ดบริหาร “ป้อมปราการ” จึงตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการลงทุนเทหมดหน้าตัก ประกาศแต่งตั้ง โจเซ่ คาร์ลอส เฟอร์เรร่า มารับงานกับทีมในปี 2011 พร้อมตั้งเป้าหมายต้องทะลุเลื่อนชั้นในปีนั้นให้ได้

โดยเทรนเนอร์ชาวบราซิลเลี่ยน ถือเป็นสินค้าขึ้นห้างของทัพ “ป้อมปราการ” ในเวลานั้น โดยนับเป็นกุนซือต่างชาติรายแรกๆ ที่ลงมาคลุกทำงานในลีกดิวิชั่น 2 พร้อมพกประกาศนียบัตร การคุมทีมชั้นนำหลายต่อหลายทีมมาแล้ว นับเป็นของนอกรายแรก และรายเดียวในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรฯ

แน่นอนว่าการเข้ามาของกุนซือนอกรายนี้ ช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพให้กับกลุ่มนักเตะของทีมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งระบบการฝึกสอนที่หลากหลาย และการตรงต่อเวลา นั่นคือสิ่งที่กุนซือมาดศาตราจารย์รายนี้ลงรายละเอียด และให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ป้องปากเม้าท์กันว่าช่วงที่ทีม “ป้อมปราการ” ใช้บริการโค้ชชาวแซมบ้าทีมมีวินัยแบบเป๊ะเว่อร์ ชนิดช่วงที่มีการฝึกซ้อมแม้แต่ช่างภาพก็ไม่สามารถลงไปเก็บภาพได้ และสงวนพื้นที่สนามซ้อมไว้เฉพาะทีมสตาฟฟ์ และนักเตะเท่านั้น!

ด้วยขุมกำลังที่เต็มไปด้วยขุมกำลังแบบเต็มประสิทธิภาพตั้งแต่หลังยันหน้า ไม่ว่าจะเป็น กาโย่ กาโดนี่ ปิเรส ดา ลุซ, พงษ์สิริ ยะกัณฐะ, ฮัน ยุนซู, ชมนันท์ สุขเกษม, อามัวร์ ไอแซค ฯลฯ ภายใต้ระบบการเล่นแบบ 4-4-2 แต่เอวังผลงานในสนามกลับสวนทางกับเป้าหมาย ส่งผลให้ "โจเซ่" มีโอกาสคุมทีมได้เพียงครึ่งทางก่อนลาจากทีมไปแบบเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงบทเรียนสำคัญที่ทำให้รู้ว่า บางครั้งสินค้าราคาแพง...ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป

 

“โค้ชเป็ด” พงษ์สิริ ยะกัณฐะ ฤดูกาล 2012-2013


หลังหมดไปกับการลงทุนหนักในปี 2011 แต่กลับได้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า ส่งผลให้ในปี 2012 ทีมเลือกคืนสู่สามัญ ฝากความหวังไว้ที่กุนซือมือใหม่อย่าง “เดอะดั๊ก” พงษ์สิริ ยะกัณฐะ อดีตปราการหลังกัปตันทีมชุดแชมป์ 2009 ที่เปรียบดั่งตำนาน และไอคอนของทัพฟ้า-ขาว ที่ผันตัวมาทำหน้าที่แทน ภายใต้สโลแกนในปีนั้นว่า “ปีนี่สร้าง...ปีหน้าสู้”

ด้วยงบจำกัดจำเขี่ย ส่งผลให้ศักยภาพทีมโดยรวมขยับถอยออกจากคำว่า “ยอดทีม” กลายเป็นทีมในระดับกลางๆ ที่เน้นคัดแข้งหน้าใหม่สู่ทีม หลายรายเริ่มเล่นปีแรก หลายรายมาจากการเล่นในระดับมหาลัย และนั้นยอมส่งผลต่อภาพรวมในสนามอย่างไม่ต้องสงสัย

ตลอดระยะเวลาที่ “โค้ชเป็ด” รั้งบังเหียน ทีมไม่อาจทำได้ดีกว่าพื้นที่โซนกลางตาราง ถึงกระนั้นทีมก็สร้างกลุ่มผู้เล่นยังบลัดที่แจ้งเกิดขึ้นมาได้บ้าง อีกทั้งในช่วงท้ายการทำทีมปี 2013 นั้นทีมก็เริ่มส่งสัญญาณดีๆ ว่าควรจะมีการต่อยอดต่อในปีถัดไป ทว่าเมื่อลีกรากหญ้าเมืองไทย ยังหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงในทุกปี เช่นกันกับ “ป้อมปราการ” ที่ก็หนีไม่พ้นวังวนนั้นๆ ทิ้งไว้เพียงเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งทีมเคยคุมโดยตำนานหมายเลข 6 ผู้นี้

ปัจจุบัน “โค้ชเป็ด” ยังคงเป็นหนึ่งในสตาฟฟ์ของทีมอยู่ โดยรับบทบาทไปต่างๆ ตามวาระ เรียกว่าเป็นลูกหม้อที่อยู่กับทีมตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่แน่ว่าอนาคตข้างหน้าเขาคนนี้อาจได้ “โอกาส” คุมทัพฟ้า-ขาว อีกครั้งก็เป็นได้...

 

“ป๋าตุ้ย” พ.ต.ท.ดร.วีระพล วงษ์สาตรสาย “โค้ชฉิม” ภาณุพงศ์ ฉิมผูก, “โค้ชพ่าย” ศัตรูพ่าย ศรีณรงค์ “โค้ชเป็ด” พงษ์สิริ ยะกัณฐะ ฤดูกาล 2014 เลก 1


ลองผิดลองถูกกับการสร้างเด็กมานาน 2 ปี ในปี 2014 “ป้อมปราการ” เปลี่ยนแปลงโฉมทีมอีกครั้งด้วยความหวังครั้งใหม่ หลัง “ป๋าตุ้ย” พ.ต.ท.ดร.วีระพล วงษ์สาตรสาย มานั่งแท่นกุนซือใหญ่ ขนาบข้างด้วย “โค้ชฉิม” และ “โค้ชพ่าย” ที่รับตำแหน่งทั้งผู้เล่น และโค้ช พร้อมดึงตัวบรรดาอดีตดาวเตะระดับทีมชาติ, เยาวชนทีมชาติ, แข้งเกรดไทยลีก ลงมาโลดแล่นในสีเสื้อฟ้า-ขาว มากมาย อาทิ กิตติศักดิ์ ธนสุวรรณ, สมเจตน์ เกษารัตน์, ทัศธัญญา ภูวงศ์ผา, ชวฤทธิ์ เขียวชอุ่ม, ปิติพงษ์ กุลดิลก ฯลฯ

ความหวังครั้งใหม่ที่ทำเอาบรรดาสาวกเลือดสูบฉีด ด้วยนโยบายเก๋าเรียกพี่ ทำเอาใครหลายคนนึกฝันไปไกลว่า ปีนี่แหละที่ทีมจะกลับสู่หัวตารางได้อย่างแน่นอน

ทว่าเป็นอีกครั้งที่ทีมผลงานส่วนทางกับความคาดหวัง ส่วนหนึ่งเพราะบรรดาแข้งเก๋าที่พกประกาศนียบัตรเต็ม 2 กระเป๋ากลับปรับตัวลำบากในการเล่นลีกล่างที่เน้นแรงปะทะ อากาศร้อน และปัจจัยรายล้อม อื่นๆ เมื่อมาขยำรวมกับความผันผวนในการจัดการที่สูงปรี๊ด ดูได้จากกุนซือที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมารับหน้าที่ไม่เว้นแต่ละนัด แม้มีแง่งามที่ดีในแนวรับที่เสียยากอยู่บ้าง ทว่าเกมรุกก็แย่เกินกว่าจินตนาการ เมื่อบวกเกมเยือนที่ “ชนะ” ไม่เป็น ที่สุดแล้ว “ความเปลี่ยนแปลง” ก็แวะเวียนมาเคาะประตูทัพฟ้า-ขาวอีกครา

 

“โค้ชตือ” สัญญา ศิริ ฤดูกาล 2014 เลก 2


ทีมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลันอีกครั้งในช่วงเลก 2 ปี 2014  เมื่อ สมพร สิงห์รื่นรมย์ นักธุรกิจหนุ่มมาดนุ่มเจ้าของธุรกิจอะไหล่รถจักรยานยนต์ และสนามหญ้าเทียม สองสิงห์ อารีน่า ก้าวเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีม พร้อมทำหน้าที่บริหารจัดการทีมแบบเต็มตัว โดยแต่งตั้งกุนซือในคาถาอย่าง “โค้ชตือ” สัญญา ศิริ มารับเผือกร้อน เช่นกันกับขุมกำลังที่เปลี่ยนโฉมหน้าไปแทบพลิกฝ่ามือ จากกลุ่มผู้เล่นเฉลี่ยแตะ 30 กะรัต กลายเป็นแข้งหนุ่มโนเนมจากรั้วสองสิงห์

“โค้ชตือ” เข้ามาเปลี่ยนระบบที่สุดฝืด ให้กลายเป็นฟุตบอลที่มีจังหวะสปีดบอลเร็วจี๋ ในระบบ 4-3-3 โดยว่ากันว่า การฝึกซ้อมของโค้ชร่างท้วมรายนี้เลือกใส่ระบบแก่ผู้เล่นในแดนหลัง และกลางเท่านั้น ส่วนกองหน้าที่อุดมด้วยแข้งกาฬทวีป ก็ไม่มีอะไรมากกว่าการเข้าทำเท่านั้น แม้อาจดูเรียบง่ายทว่ากลับทำได้ดี ที่สำคัญกุนซือรายนี้ยังถือว่าโดดเด่นอย่างมากโดยเฉพาะการรีดศักยภาพของลูกทีมออกมาได้ดี ดูได้จาก ไบร์ท เอบูซอร์ ที่ยิงกระจายแบบเหนือคาดจนกลายเป็นปรากฎการณ์ในถิ่นฟ้า-ขาว มาแล้ว

ภายหลังจบฤดูกาล “โค้ชตือ” จะแยกทางจากทีมไป โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมามีข่าวว่าไปทำ ตาก เอฟซี แต่ทว่าสุดท้ายทีมไม่ได้เข้าร่วมลีก ทำให้ระเห็จไปเป็นสตาฟฟ์ให้กับ “น้าฉ่วย” สมชาย ชวยบุญชุม ในถิ่น “ค้างคาวไฟ” สุโขทัย เอฟซี ทีมแกร่งในลีกวันอยู่ในปัจจุบัน

 

“อ.โม” อภิชาติ โมสิกะ ฤดูกาล 2015

หลังเกิดความยุ่งเหยิง และสุญญากาศในช่วงต้นฤดูกาล ที่สตาร์ทก่อนใครเพื่อนแต่ทำท่าจะพังพาบลง ทันใดนั้น บอสสมพร ก็ได้ตัดสินใจบรรลุดีลครั้งสำคัญของสโมสรฯ ด้วยการดึงบรมกุนซือ “อ.โม” อภิชาติ โมสิกะ มารับงานก่อนเปิดฤดูกาลไม่นานนัก ท่ามกลางความยินดีปรีดาของสาวกชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“อ.โม” เข้ามาใส่ระบบให้กับทีมที่อัดแน่นด้วยคุณภาพอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี ในระบบ 4-2-3-1 ด้วยแนวคิดเชิงลูกหนังชั้นสูงที่ถ่ายทอดลงมาสู่ทีม เน้นการถ่ายบอลเท้าสู่เท้าที่แม่นยำ ใส่ใจในทุกรายละเอียดการฝึกซ้อม และทุ่มเททำงานหนักตลอดเวลาเพื่อทีม กับขุนพลคู่ใจที่หลายทีมต้องอิจฉา อาทิ วัชรพล บุญชั้น, ศักดิ์สุริยา กุลโพนเมือง, ภาคภูมิ มะลิรุ่งเรือง, ถนอม แสงจันดา ฯลฯ

แต่กระนั้นผลงานที่แม้จะออกมาดี แต่กลับไปไม่สุดเสียดื้อๆ โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างครึ่งฤดูกาล ทีมดร็อปลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยขึ้นไปแตะถึงจ่าฝูงกลับหล่นมาอยู่ที่ 3-4 ปัญหาที่แทบไม่เคยมองเห็นกลับแดงชัดขึ้นเรื่อยๆ

และฝางเส้นสุดท้ายก็มาถึงเมื่อทีมพลาดแพ้คารังต่อ ระยอง เอฟซี ทิ้งไว้เพียงความอาลัยของบรรดาสาวกที่เสียดายฝีไม้ลายมือของยอดกุนซือรายนี้ ที่เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำดีๆ เท่านั้น และภายหลังที่แยกทางกับ “ป้อมปราการ” แล้ว กุนซือเฒ่าเลือกไปช่วยงาน สีหมอก เอฟซี ที่สุดท้ายก็พลาดตั๋ว ชปล. เช่นกัน...

 

“โค้ชเบื้อก” ธนบูรณ์ คณะโต ฤดูกาล 2015

โอกาสริบหรี่หลังจบเกมที่ทีมบุกไปพังพาบที่คลอง 13 ต่อ ปทุมธานี วิสต้าวิลล์ ยูไนเต็ด ในความรู้สึกที่เกินจะรับได้ ส่งผลให้ ใครคนนั้นอายุงานสั้นกุดเพียงไม่กี่วันก็กระเด็นตกเก้าอี้ และถัดจากไม่นาน “โค้ชเบื้อก” ธนบูรณ์ คณะโต ก็มาสานงานต่อ พร้อมข้อคำถามต่างๆ มากมาย และคล้ายว่าจะเป็นเรื่องตลกร้ายกับกุนซือรายที่ 4 ของฤดูกาล

แต่ทำไปทำมาคนที่ไม่มีใครตั้งความหวังคนนี้กลับทำในสิ่งที่เกินคาด “โค้ชเบื้อก” ไม่ได้เข้ามาปรับอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ทำอะไรหลายอย่างที่เคยดูยากให้ง่ายลงเท่านั้น จากที่เคยต้องต่อบอลตามแนวทางที่ถูกพร่ำสอน ก็เปลี่ยนเสียใหม่ ยิงทุกครั้งเมื่อมีโอกาส และเมื่อมีโอกาสก็แค่ลองสับไก ยิง ยิง และยิง

กับระบบ 4-3-3 ที่เน้นการโจมตีจากข้างมากขึ้น ยิ่งเพิ่มโอกาสส่องประตูของทีมชัดเจน และที่สำคัญการเข้ามาของกุนซือท่านนี้ก็ช่วยรวมใจทีม ที่เคยมีข้อคำถาม ให้คลายตัวลง เล่นอย่างเป็นธรรมชาติกว่าที่เคย ซึ่งจะว่าไปสรรพคุณของเขาคนนี้ก็คล้ายคลึงกับอดีตกุนซือผู้พาทีมเถลิงแชมป์ นั่นคือการปลุกเร้าที่ดี จิตวิทยาเยี่ยม ส่งผลบวกต่อผลงานในสนามชัดเจน

7 นัดท้ายที่ “โค้ชเบื้อก” มารับเผือกร้อน ทีมชนะ 6 เสมอ 1 ในจำนวนเกมชนะเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นสถิติหน้าใหม่ของสโมสรฯ ต่อผลงานที่ยอดเยี่ยมจนเกินจินตนาการ คำถามคือปีหน้ากุนซือมือดีรายนี้จะเลือกอยู่ช่วยทีมต่อไปได้หรือเปล่า?

 

และทั้งหมดนี่คือเรื่องราว 7 ตอน ของกุนซือ “ป้อมปราการ” ในวาระ 7 ขวบ สโมสรฯ แห่งนี้ ถึงกระนั้นในมุมส่วนตัวยังมองว่าทุกตัวกุนซือที่เข้ามาฝากผลงานกับทีมนั้นต่างมีดีในตัว ทว่าด้วยปัจจัยแวดล้อม และสถานการณ์ที่ต่างออกไปในเวลานั้นๆ ก็ส่งผลให้ผลงานแตกต่างกันไป กับ 7 ปีที่ศรัทธายังไม่เสื่อมคลาย 7 ปีที่ทำให้เรารู้จักกัน สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดสโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ
 

ขอบคุณภาพ T.K.O

Official Sponsors

สโมสรฟุตบอลจังหวัดสมุทรปราการ 26/1 ถ.เทศบาล 12 ต.ปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10270 เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0115556013411

Samutprakan Football Club 26/1, Thetsaban 12 Rd, Paknam, Mueang Samutprakan, Samutprakan 10270 Thailand
Tel/Fax 02 702 9840 / 086 0610 666, 086 366 9191, 086 520 6602, 081 5566 111

Email admin@samutprakanfc.com GPS 13.59717, 100.60145

กลับสู่ด้านบนBack to the TopTerms of Service & Privacy PolicyColophon