สู่ปีที่12 : สมุทรปราการเอฟซี

ก้าวสู่ขวบปีที่ 12 ท่ามกลางกระแสผันผวนทั้งระบบลีกอาชีพ สภาพเศรษฐกิจ จนมีข่าวออกมาว่าหลายๆ สโมสรฯ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ก็เลือกถอดใจไม่ทำทีมต่อไป แต่ไม่ใช่กับ “ป้อมปราการ” สมุทรปราการเอฟซี สโมสรฟุตบอลเล็กๆ ที่อาจไม่ได้เติบโตไปกว่าวันแรกมากมายนัก แต่ก็ยังยืนหยัดได้ด้วยศรัทธาที่ยังคงแรงกล้า ไม่แตกต่างจากวันวาน

ฤดูกาลหลังจากที่เข้ามาสนับสนุนทีมเทศบาลนครสมุทรปราการ ก่อนเข้าสู่ยุคใหม่ในลีกอาชีพบ้านเรานั้น “บิ๊กเผือก” พีรพัฒน์ ถานิตย์ เลือกเดินหน้าขอสิทธิ์ทำทีมใหม่ในชื่อ สมุทรปราการเอฟซี โดยไปขอรับรองจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างถูกต้อง ให้สิทธิ์เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกับสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพครั้งแรกของจังหวัดสมุทรปราการ ในรายการ "ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2" ประจำปี 2009 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ทำให้เราทุกคนโคจรมาพบกัน

ปรากฏการณ์ "ฟ้า-ขาว" ขวบปีแรกบนลีกอาชีพ สมุทรปราการเอฟซี สามารถสร้างฐานแฟนคลับได้อย่างรวดเร็วจากผลงานในสนามที่ลงเล่นด้วยสปิริต และหัวจิตหัวใจของยอดนักสู้ ทำให้กระแสแฟนบอล ฟ้า-ขาว เพิ่มมากขึ้น...มากขึ้น ในทุกๆ นัดที่ลงสนาม ชนิดไม่ต้องเสียเวลาโปรโมตหรือทุ่มทุนโฆษณาอะไรมากมายแม้แต่น้อย

แต่แล้ว “ป้อมปราการ” ที่กำลังทำผลงานในสนามได้อย่างยอดเยี่ยมเวลานั้น ต้องมาพบบททดสอบสำคัญเมื่อ สโมสรฯ กำลังจะต้องถูกยุบ ด้วยเหตุผลทางด้านการเงิน และสนามแข่งขันที่ไม่ผ่านสมาคมฯ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ให้กับแฟนบอลเลือดข้นทั้งหลาย ก่อนจะเกิดปรากฏการณ์ "ฟ้า-ขาว" ทั้งจังหวัด เพื่อช่วยพยุงให้สโมสรไม่ต้องล้มหายไปจากแผนที่ลูกหนังเมืองไทย อันนำมาซึ่งตำนานบทสำคัญที่เกิดขึ้นจาก "ศรัทธา" ของแฟนบอลจนเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว

“บิ๊กเผือก” ย้อนความทรงจำถึงเรื่องราวในช่วงขวบปีแรกๆ ว่า “ในช่วงแรกยังไม่มีสนามซ้อม และแข่งขัน มีปัญหาด้านสนามเยอะ สมาคมอยากให้เลิกทำทีมฟุตบอลบ่อยครั้ง จนในที่สุดได้สนามที่บางมดเป็นสนามหลัก สนามแรก ได้กำลังใจจากแฟนบอลช่วยให้ผ่านปีแรกไปได้ ปี2009 เสียเงินไปหลักล้าน ได้แชมป์ดิวิชั่น 2 ภาคกลาง เป็นปีที่สนุกเต็มไปด้วยเรื่องราว และแฟนบอลที่ตอบรับเราหลักหลายพันคนต่อนัด เราผ่านปัญหามากมาย แต่ก็ได้กำลังใจดีๆ จากแฟนบอลที่ช่วยให้ผ่านขวบปีแรกๆ ไปได้”

จากการที่ทีมต้องผิดหวังซ้ำซากกับการพลาดตีตั๋วสู่ลีกพระรองใน 2 ฤดูกาลติดต่อกัน บอร์ดบริหาร “ป้อมปราการ” จึงตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการลงทุนเทหมดหน้าตัก ประกาศแต่งตั้ง โจเซ่ คาร์ลอส เฟอร์เรร่า มารับงานกับทีมในปี 2011 พร้อมตั้งเป้าหมายต้องทะลุเลื่อนชั้นในปีนั้นให้ได้ พร้อมด้วยขุมกำลังที่เต็มไปด้วยขุมกำลังแบบเต็มประสิทธิภาพตั้งแต่หลังยันหน้า ไม่ว่าจะเป็น กาโย่ กาโดนี่ ปิเรส ดา ลุซ, พงษ์สิริ ยะกัณฐะ, ฮัน ยุนซู, ชมนันท์ สุขเกษม, อามัวร์ ไอแซค ฯลฯ แต่เอวังผลงานในสนามกลับสวนทางกับเป้าหมายไกลลิบ

“ปีนี้ทุ่มเงินมากที่สุด แต่ก็ไปตรงกับจังหวะที่หลายทีมที่มีทุนการเมืองกำลังขึ้นมาพอดี อย่าง ราชบุรี, อ่างทอง, ระยอง, สมุทรสาคร และอยุธยา ซึ่งหมดเลกแรก เราผลงานไม่ดี แต่ก็ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ทำให้เลือกที่จะอัดเพิ่มต่อ แต่ผลสุดท้ายมันไม่ประสบความสำเร็จ ก็ถือได้ว่าเป็นปีที่น่าผิดหวังเป็นที่สุด เจ็บหนักที่สุด ทำให้เราต้องเริ่มกลับมาตั้งหลักคิดกันใหม่”
นั่นทำให้หลังจากขวบปีนั้น ทีมยืนในเรื่องนโยบายที่เน้นรัดเข็มขัดมากขึ้น เพื่อให้ทีมยังคงอยู่ได้ต่อไป ซึ่งแน่นอนแฟนบอล “ไม่ถูกใจ” สิ่งนี้เท่าไหร่นัก ซึ่ง “บิ๊กเผือก” กล่าวว่า “แฟนบอลก็มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ผมอยากบอกไว้ตรงนี้ว่าผมเข้าใจทุกคน แฟนบอลอยากเชียร์ให้สนุก เราเป็นคนทำทีมก็อยากทำให้มันดี แต่ด้วยปัจจัยมันเยอะเหลือเกิน เราไม่สามารถสู้ได้ด้วยตัวของเราคนเดียว”

“ผมเชื่อว่ามีแฟนบอลหลักหมื่นคนที่ติดตามให้กำลังใจเชียร์ทีมเรา แต่ด้วยภาวะผลงานในสนาม ภาวะเศรษฐกิจ ก็อาจทำให้เขาเลือกที่จะเข้ามา หรือไม่เข้ามาเชียร์ ซึ่งเราก็พยายามเต็มที่แล้ว แต่ ณ สถานการณ์ตอนนี้เราก็ทำได้แค่ประคองทีมให้มีทีมประจำจังหวัดทีมแรกทีมนี้อยู่ ทุกคนยังรักทีมนี้เหมือนเดิม เพียงแต่คงไม่เข้ามาเชียร์เหมือนเดิม เราก็ไม่โกรธกัน หน้าที่เราคือรักษาทีมนี้เอาไว้ รอให้มันสุกงอม รอคนที่รัก และเข้าใจจริงๆ เข้ามาช่วยทำให้มันดีกว่านี้”

สมุทรปราการเอฟซี หันมามุ่งเน้นการสร้างโครงการช้างเผือก ร่วมกับทางจังหวัด และ รร.เทศบาล 1 (เยี่ยมเกษสุวรรณ) เต็มตัว โดยยึดรูปแบบมาจาก “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี โดยที่แน่นอนว่าการเลือกทำแบบนี้ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ซึ่ง “บิ๊กเผือก” ก็เชื่อมั่นว่าแนวทางนี้สักวันมันจะผลิดอกออกผลจริงๆ สักที โดยเร็วๆ นี้จะมีการทำ MOU กับราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ เพื่อต่อยอดเด็กโครงการในอนาคต

“บิ๊กเผือก” กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมยังคงทำงานของผมต่อไปเรื่อยๆ ในสเกลที่เรายังทำไหว ก็หวังว่า ส.บอล จะเข้ามาดูแลลีกล่างให้จริงจังมากขึ้น ก็เชื่อว่ากระแสฟุตบอลมันจะกลับมาได้อีกครั้ง”